วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

วันเดียวก็เที่ยวได้ครบทุกรสชาติแล้วค่ะ !!

ตาม WalkWayWhy ไปรู้จักเมืองมุกดาหารกันเถอะ
วันเดียวก็เที่ยวได้ครบทุกรสชาติแล้วค่ะ !!

-WKY Team-
 เที่ยวครบรส เมืองมุกดาหาร
...................................................................

:: เที่ยวครบรส เมืองมุกดาหาร ::P h o t o by W K Y Team / T e x t by
อัศวิน
มุกดาหาร เป็นหนึ่งใน 3 จังหวัดกลุ่ม “สนุก” อันประกอบไปด้วย สกลนคร มุกดาหาร
และนครพนม
เหตุที่เรียกทั้งสามจังหวัดนี้ว่า กลุ่มจังหวัด “สนุก”
ก็เนื่องมาจากการนำชื่อของทั้งสามจังหวัดมารวมกัน
โดยใช้ “ส.” จาก “สกลนคร” ในขณะที่ “นครพนม” ส่งตัวอักษร “น.” เข้ามาเป็นตัวแทน
ปิดท้ายด้วย
“สระอุ และ ก.” จากคำว่า “มุก” ของมุกดาหาร เมื่อจับมาเขย่าผสมรวมกัน
จึงออกมาเป็นคำว่า “สนุก”
นั่นเอง



เมื่อเร็วๆ นี้ ผมมีโอกาสไปเยือนทั้งสามจังหวัดในกลุ่ม “สนุก”
จึงขอถือโอกาสมาเล่าเรื่องการเดินทางให้ชาว WKY
ได้สนุกไปด้วยกันครับ โดยขอเริ่มจาก “มุกดาหาร”
จังหวัดที่ผมเคยมาเยือนแล้วเมื่อหลายปีก่อน ครั้งนั้นผมเดินทาง
มาที่นี่เพื่อใช้เป็นทางผ่านเข้าสู่ สปป.ลาว เหมือนกับที่หลายๆ
ท่านก็น่าจะเคยรับรู้มาก่อนเช่นกัน มีบางคนเคยตั้ง
คำถามกับผมว่า ถ้าไม่ข้ามไปลาว แล้วเราจะเที่ยวที่ไหนในที่มุกดาหารได้บ้าง?
เรามาหาคำตอบไปด้วยกันเลยครับ

ทริปนี้ ผมใช้เวลาที่มุกดาหารไม่นานมากนัก
แต่ก็สามารถค้นหาเสน่ห์ของมุกดาหารได้มากพอสมควรเลยทีเดียว
ขอเริ่มจากแหล่งกินก่อนเลยดีกว่า เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้องครับ !
มื้อเช้า หากท่านใดต้องการสัมผัสกับรสชาติอาหารพื้นเมืองของที่นี่ แนะนำให้มาที่
“ห้าแยกชุมชนเวียดนาม”
หรือ “ห้าแยกญวน” คนที่นี่เรียกกันว่า ห้าแยก
แต่สำหรับผมก็ยังมองว่าไม่ค่อยเป็นแยกสักเท่าไหร่ เพราะถ้า
พูดคำว่าห้าแยก เชื่อได้ว่าหลายท่านน่าจะคิดถึงถนนเส้นใหญ่จาก 5
ทิศทางวิ่งมาชนกันจนเกิดเป็นทางแยกใหญ่ๆ
5 แยก แต่อันที่จริงบริเวณที่เรียกว่าห้าแยกญวนนี้ ตั้งอยู่บนถนนพิทักษ์สันติราษฎร์
ตรงช่วงที่เป็นทางโค้ง โดย
มีซอยเล็กๆ ที่อยู่บริเวณทางโค้งนี้แยกออกไปเป็นซอยอีก 3 ซอยครับ ซึ่งผมเดาว่า
เหตุที่ชาวบ้านเรียก 5 แยก
ก็คงมาจาก 2 แยก คือ หัว-ท้ายของถนนพิทักษ์สันติราษฎร์ และ 3
แยกจากซอยทั้งสามนั่นเองครับ


บริเวณนี้ เป็นชุมชนที่ชาวเวียดนามอาศัยอยู่มาก่อนครับ
ดังนั้นร้านอาหารในแถบนี้จึงเป็นอาหารสไตล์เวียดนาม
เจ้าของร้านในปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 3 แล้วครับ
แต่รสชาติอาหารที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษยังคงเป็นที่นิยม
ของชาวมุกดาหารเหมือนเช่นเคย ที่ผมชอบเป็นพิเศษ คือ ข้าวเปียก ครับ
ทันทีที่ได้เห็นหน้าค่าตาเมนูนี้ ก็ทำให้
ผมร้องอ๋อขึ้นมาทันที เพราะผมรู้จักเมนูนี้ในชื่อของ ก๋วยจั๊บญวน
โดยหน้าตาดูคล้ายกับก๋วยจั๊บน้ำใสทั่วไป แต่เส้น
ที่ใช้จะเป็นเส้นกลมๆ อวบอิ่มเหนียวนุ่ม
มีขนาดใหญ่เท่ากับเอาเส้นเล็กมามัดรวมกันประมาณ 2-3 เส้น ใช้หมูยอ
เป็นวัตถุดิบหลัก แต่บางคนก็สามารถสั่งไข่ไก่ใส่เพิ่มไปได้ ราคาปกติชามละ 15
บาทเท่านั้น แต่ถ้าใส่ไข่ก็เพิ่มอีก
5 บาทครับ


ฝั่งตรงข้ามกับร้านข้าวเปียก 5 แยก คือ ร้านกาแฟ
ร้านนี้เป็นร้านที่ผมมองว่าเป็นร้านสำหรับอาหารเช้าอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะกับเมนูเด่นในร้าน คือ กาแฟโบราณ ไข่กระทะ และแซนด์วิช
หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ข้าวจี่” ร้านนี้เป็น
ร้านที่ค่อนข้างเก่า มองจากภายนอกพาลให้นึกไปถึงสภากาแฟของกลุ่มสว. (สูงวัย)
แต่ผมกลับรู้สึกชอบ ทั้งที่
ยังไม่แก่สักหน่อย (ฮ่าฮ่า)
ด้วยความที่พื้นที่ภายในร้านไม่ได้กว้างมากนัก
เมื่อเข้ามานั่งในนี้แล้วจะรู้สึกอบอุ่น พูดคุยกับเพื่อนฝูงได้อย่าง
ใกล้ชิด เผลอๆ จะได้ยินโต๊ะข้างๆ คุยกันโดยที่ไม่ต้องแอบฟังด้วย
ผมจึงได้ยินเสียงพูด เสียงคุย เสียงหัวเราะ
ดังขึ้นมาตลอด ทำให้มื้อเช้าที่นี่มีรสชาติมากครับ
อย่าถามผมนะครับว่าอะไรอร่อยที่สุด เพราะผมและทีมงาน
WKY สั่งมาครบทุกเมนูที่ร้านแนะนำ คือ กาแฟ-ไข่กระทะ-ข้าวจี่
ซึ่งเราก็ซัดกันเรียบครับ
ข้างๆ ร้านกาแฟ เป็นร้านเลือดแปลง ข้าวต้มใส้หมู ร้านนี้จะเน้นไปที่เครื่องใน
โดยเฉพาะเลือด ซึ่งเลือดหมู
ของที่นี่จะใช้เลือดสดๆ ปรุงครับ โดยจะนำเลือดไปแช่แข็งก่อน
เมื่อเลือดแข็งเป็นก้อนแล้วจึงค่อยนำมาปรุง
อาหาร แต่ไม่ได้ทำให้สุกก่อนนะครับ ชาวบ้านที่นี่นิยมกันมาก หากมาสายอาจอดกินได้
แต่สำหรับทีมงาน WKY
ยังไม่มีใครกล้าพอที่จะลองครับ (แหะ แหะ) ร้านถัดไป มีเฝอและขนมเบื้องญวนให้ชิมครับ
ใครที่ยังไม่อิ่มลุยต่อได้เลย
จากบริเวณห้าแยก เรานั่งรถสกายแล็ป หรือจะเรียกว่าเป็น ตุ๊กตุ๊ก ก็น่าจะได้
ใช้เวลาไม่กี่นาที ก็มาถึงจุดหมาย
ปลายทางที่ตลาดอินโดจีนที่อยู่ริมแม่น้ำโขงครับ เห็นผมเรียกว่า “ตลาด”
อย่าเพิ่งเหมาว่าจะเป็นแหล่งค้าขาย
เท่านั้นนะครับ เพราะบริเวณเลียบริมโขงนี้
ยังมีศาสนสถานสำคัญไม่น้อยที่ตั้งอยู่ท่ามกลางร้านค้ามากมาย ไม่ว่า
จะเป็น วัดศรีมงคลใต้ วัดยอดแก้วศรีวิชัย วัดศรีบุญเรือง
และศาลเจ้าแม่สองนางพี่น้อง เป็นต้น
ถนนเลียบริมโขงแห่งนี้ มีชื่อว่า ถนนสำราญชายโขง ฝั่งที่ติดกับแม่น้ำโขง
จะมีทางเดินลงไปสู่พื้นที่ภายใน
ที่มีร้านค้าต่างๆ มากมายตั้งขายสินค้าเป็นล็อคๆ คล้ายกับตลาดนัด
แต่เป็นตลาดนัดในร่ม สินค้าที่นี่มีตั้งแต่
เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆจากในและต่างประเทศ อาหารแห้ง
ขนมนมเนย รวมถึงสินค้า-
โอท็อปของเมืองมุกดาหารด้วย


ส่วนบรรยากาศริมโขงที่อยู่ภายนอกนั้น
หากเป็นช่วงเวลากลางวันต้องถือว่าไม่สมควรมาเดินเล่นสักเท่าไหร่
เพราะแดดร้อนจัดถึงขนาดทำให้สาวๆ ผิวไหม้ได้เลยทีเดียว
แต่หากเป็นช่วงเช้าหรือช่วงเย็นที่แดดร่มลมตก
อากาศจะกำลังสบาย เหมาะที่จะมาเดินชิลล์ๆ ครับ
ท่านใดที่มาตลาดอินโดจีน อย่าลืมแวะสักการะศาลเจ้าแม่สองนางพี่น้องก่อนนะครับ
ศาลนี้อยู่ต้นถนน
บริเวณหัวตลาดอินโดจีน ใกล้กับท่าด่านตรวจคนเข้าเมืองมุกดาหาร
มีประวัติเล่าขานกันว่า ราวปีพ.ศ.1896
เจ้าฟ้างุ้มแห่งเมืองล้านช้าง (ฝั่งลาว) ได้พาลูกหลานอพยพมาตามลำน้ำโขง
ผ่านเมืองหนองคาย นครพนม
จนมาเขตมุกดาหาร แต่เกิดเรือล่มเสียก่อนที่บริเวณปากห้วยมุก ทำให้ธิดา 2 พระองค์
คือ พระนางพิมพา กับ
พระนางลมพามา สิ้นชีพ หลังจากนั้น ทุกวันขึ้น 11 ค่ำ เดือน 6
ชาวบ้านก็มักจะได้ยินมีเสียงร่ำไห้ของผู้หญิง
สองคน ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเสียงของพระธิดาทั้งสองนั่นเอง
จึงมีการสร้างศาลขึ้นเพื่อให้วิญญาณได้สิงสถิต
ตั้งแต่ พ.ศ. 2314 และจากนั้นมา ชาวมุกดาหารก็จะถือเอาวันขึ้น 11 ค่ำ เดือน 6
ของทุกปี เป็นเดือนที่ทำพิธี
เซ่นไหว้ บวงสรวง เจ้าแม่สองนางพี่น้องมาจวบจนถึงปัจจุบัน
เมื่อสักการะศาสนสถานต่างๆ รวมถึง ช้อปปิ้งอย่างจุใจบริเวณตลาดอินโดจีนแล้ว
สถานที่ท่องเที่ยวอีกหนึ่งแห่ง
ที่ผมไม่อยากให้ทุกท่านพลาด ก็คือ อุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ ครับ สำหรับผมแล้ว
มุกดาหารเป็นจังหวัดที่
สามารถเที่ยวได้ครบรสภายใน 1 วัน ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวกิน-ชิมอาหารพื้นเมือง
เที่ยวช้อป-ซื้อสินค้า
นานาชนิด เที่ยวสักการะ-กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และศาสนสถาน
แถมยังเที่ยวชมธรรมชาติในอุทยาน
แห่งชาติได้ด้วย โดยการเดินทางจากที่สู่ที่นั้นใช้เวลาไม่นานเลยครับ
อุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 59 ของประเทศไทย มีเนื้อที่ราว
48.5 ตร.กม. หรือ
สามหมื่นกว่าไร่ บริเวณนี้อยู่ส่วนปลายสุดของเทือกเขาภูพาน
ลักษณะภูมิประเทศแถบนี้เป็นภูเขาหินทราย
ประกอบด้วยเทือกเขาน้อยใหญ่หลายลูกติดต่อกันแบบลูกคลื่น วางตัวในแนวเหนือ-ใต้ขนาด
และห่างจากชายฝั่ง
แม่น้ำโขงประมาณ 4 กม. ภายในอุทยานฯ มีจุดน่าสนใจมากมาย อาทิ กลุ่มหินเทิบ
ลานมุจลินท์ น้ำตกวังเดือนห้า
ภูถ้ำพระ ผาอูฐ ผามะนาว และ ถ้ำฝ่ามือแดง เป็นต้น หากจะสำรวจภูผาเทิบให้ครบ
คงต้องใช้เวลากับที่นี่เต็มๆ วัน
ท่านใดที่มีเวลามากสามารถจับจองที่พักกับทางอุทยานฯได้ครับ
เพราะที่นี่มีบ้านพักอุทยานฯ ให้บริการนักท่องเที่ยว
อยู่แล้ว
สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของอุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ คือ กลุ่มหินเทิบ
ประติมากรรมธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะ
ของฝน น้ำ ลม และแสงแดด ผ่านกาลเวลามาถึง 120-95 ล้านปี (ก่อนประวัติศาสตร์)
โดยกลุ่มหินเหล่านี้มีสภาพ
รูปร่างต่างกัน จนแต่ละชิ้นก็ได้รับขนานนามต่างกันไป อาทิ หอยสังข์ หัวจระเข้
หอยเชลล์ หินมงกุฎ และจาน UBC
ได้ยินชื่อนี้ ทำให้ผมแอบคิดในใจว่า หากนอนค้างที่นี่คงไม่พลาดฟุตบอลนัดสำคัญ
แน่นอน ฮ่า ฮ่า
และกลุ่มหินที่เป็นเสมือนไฮไลท์ของกลุ่มหินเทิบนี้ ก็คือ เก๋งจีน
ลักษณะเป็นหินก้อนใหญ่ตั้งตรงตระหง่าน
และมีหินก้อนเล็กลักษณะคล้ายหลังคาเก๋งจีนซ้อนอยู่ด้านบนอีกที
จากจุดนี้หากเดินตรงต่อไป อีกราว 1 กม.
จะไปถึงน้ำตกวังเดือนห้าครับ แต่หากเลี้ยวซ้าย เดินเลาะลงมาจากโขดหินเรื่อยๆ
ก็จะกลับออกมาบรรจบกับ
ทางเข้าด้านหน้าได้เหมือนเดิม นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะมาจบที่เก๋งจีนแล้วกลับ
เบ็ดเสร็จแล้วใช้เวลาเที่ยว
อุทยานฯ ชมกลุ่มหินเทิบ ประมาณ 1 ชั่วโมงครับ
น่าเสียดายที่ผมไม่มีเวลามากพอที่จะอยู่กับอุทยานแห่งชาติภูผาเทิบได้เต็มๆ วัน
เพราะผมยังมีภารกิจ
ต้องไปเยือนสกลนครและนครพนมต่อ แต่โอกาสหน้าผมจะกลับมาที่นี่อีกหน
และจะขอใช้เวลาให้เต็มอิ่ม
กับที่นี่สักครั้งครับ ผมปิดท้ายทริปเที่ยวครบรส เมืองมุกดาหารที่นี่
ก่อนจะเตรียมตัวเดินทางไปยัง
“สกลนคร” และ “นครพนม” ต่อในวันรุ่งขึ้น

หากบก.ยังไว้ใจให้ผมเล่าเรื่องต่อ เราจะได้พบกันใหม่ครับ ! (ฮ่า ฮ่า)

.............................................

ดูหน้าบทความในเวบไซต์ คลิกที่นี่




***************



อ่านบทความดีๆ เพิ่มเติม ได้ที่ www.walkwaywhy.com
เวบไซต์ท่องเที่ยว สาระ ไลฟ์สไตล์ ให้คุณเปิดอ่านเพลินๆ ตลอดวัน

ใครอยากให้เราอัพเดทบทความใหม่ๆ ส่งตรงถึงคุณเรื่อยๆ
สามารถไปกรอกอีเมลล์เพื่อรับข่าวสารจากเราได้ที่หน้าเวบค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น